🧮กลไกของการ Hedge

ภาพรวม

เพื่อที่จะคงระดับความเสี่ยงทางราคาของสินทรัพย์ (เช่น มีความเสี่ยงทางราคาเป็น 0 บน market-neutral vault) vault จำเป็นต้องมีการ rebalance อยู่เรื่อยๆเมื่อราคาของสินทรัพย์ภายใน vault เคลื่อนไหว ทุกครั้งที่เกิดธุรกรรมการ rebalance vault จะได้รับผลกระทบจาก 1) ค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยน & ผลกระทบทางราคาเมื่อแลกเปลี่ยนสินทรัพย์บน DEX; และ 2) ผลกระทบของเงินทุนจากการเกิด impermanent loss (IL) ผลกระทบสองอย่างนี้จากการ rebalance เป็นค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุดในการดำเนินการ AVs

เป้าหมายสุดท้ายของการ rebalance คือการกำจัดความเสี่ยงทางราคาออกจาก Automated Vaults ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางราคาของสินทรัพย์ (หรือเรียกอีกอย่างว่า hedging) เราได้มีตั้งค่าปัจจัยอัจฉริยะ (Intelligence Factors) ภายในระบบเพื่อประเมินว่า rebalance ควรเกิดขึ้นเมื่อไหร่และยังไงเพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนระยะยาว

การ hedge ทำงานยังไง?

กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลดความเสี่ยงทางราคาเพื่อให้ AVs ได้ผลตอบแทนมากที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพตลาด ณ ตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตลาดนั้นมีราคาที่ผันผวนแต่ราคาจะอยู่ในช่วงๆหนึ่ง กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดคือการหยุดธุรกรรม rebalance มิเช่นนั้นจะเป็นการทำให้เกิด IL และมีค่าใช้จ่ายในการธุรกรรมที่ไม่จำเป็นเพราะว่าราคาจะเด้งไปมาในช่วงๆนั้น ในทางกลับกันถ้าตลาดมีแนวโน้มที่จะพุ่งไปข้างนึงทางเลือกที่ดีที่สุดคือการค่อยๆ rebalance เมื่อราคาค่อยๆขยับ ถ้ารอนานเกินไปจะส่งผลให้มี IL ที่มากขึ้น

วิธีการ rebalance ในปัจจุบันนั้นได้เพิ่มข้อมูลเข้าไปมากขึ้นซึ่งรวมไปถึงราคาในอดีตและปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆเพื่อพัฒนาสัญญาณในการประเมินว่าตลาดในตอนนี้มีสภาพอย่างไร (มีแนวโน้มไปข้างนึงหรือว่าจะเด้งอยู่ในกรอบ หรือจะมีการย้อนกลับของราคา) ในขณะที่โมเดลได้มีการรวบรวมข้อมูลต่างๆอยู่ตลอดเวลา เรายังใช้ machine learning เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลเหล่านี้อัลกอริทึมลดความเสี่ยงทางราคานี้จะมีการปรับเรื่อยๆ (โหมดการทำงาน) ให้เหมาะกับเวลานั้นๆ เราต้องการจะเน้นย้ำว่าจะไม่มีโค๊ดแยกออกจากกันสำหรับแต่ละโหมด แต่ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นโค๊ตเดียวกันแต่ต่างกันที่ "สูตรการคำนวณ" สำหรับค่าพารามิเตอร์ ซึ่งจะเปลี่ยนการทำงานของแต่ละโหมด

เราใช้ probabilistic execution เพื่อป้องกันจากผู้โจมตีที่จะใช้วิศวกรรมย้อนกลับ (reverse engineering) ในการหากฎการทำงาน ดังนั้นจากมุมมองภายนอกเวลาในการทำแต่ละธุรกรรมจะดูเหมือนไม่ค่อยมีกฎตายตัว เรารู้ว่าเหล่าอัลปาก้าชอบข้อมูลอย่างละเอียด ดังนั้นเรามาดูกันว่าการ rebalance ทำงานยังไง

เริ่มต้นที่เราจะแนะนำแนวคิด Repurchasing Intensity Curve ซึ่งจะกำหนดค่าความน่าจะเป็นของธุรกรรมการ rebalance ที่จะใช้งานตามฟังก์ชันของ vault ในการลดความเสี่ยงทางราคา เส้นโค้งจะมีหน้าตาคล้ายภาพด้านล่าง:

จะเห็นได้ว่ารูปเส้นโค้งนี้จะคล้ายกับเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมของเรา (ถ้าคุณแทนที่แกน x ด้วยอัตราการใช้งาน และแกน y ด้วยอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม) ซึ่งคุณเข้าใจถูกแล้ว ในเชิงแนวคิดนั้นทั้งสองสิ่งนี้นั้นมีเป้าหมายคล้ายกัน

  • ในช่วงนี้ที่มีความเสี่ยงทางราคาต่ำ (vault มีความสมดุล) เราจะไม่ค่อยสนใจว่าการ rebalance จะเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นเราจะกำหนดค่าความน่าจะเป็นต่ำในช่วงนี้ จริงๆแล้วในช่วงที่มีความเสี่ยงทางราคาต่ำมากเราจะกำหนดค่าความน่าจะเป็นในการ rebalance ให้เท่ากับศูนย์เพื่อให้ราคาของสินทรัพย์ผันผวนได้ และเพื่อให้แน่ใจว่าการ rebalance จะไม่เกิดขึ้น

  • เมื่อความเสี่ยงทางราคามากขึ้น ความน่าจะเป็นในการเกิด rebalance ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย (เหมือนกับส่วนของ slope1 ของเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมของเรา)

  • เมื่อความเสี่ยงทางราคามากขึ้นไปถึงจุดๆนึง ที่จำเป็นต้องให้การ rebalance เกิดขึ้น ดังนั้น slope ความน่าจะเป็นจะชันขึ้นเรื่อยๆจนถึง 1 เพื่อเป็นการการันตีว่าการ rebalance จะเกิดขึ้น (เหมือนกับส่วนของ slope3 ของเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมของเรา)

  • คล้ายกับการปรับเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่ทำให้ lending vault อยู่สถานะที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เรายังสามารถปรับ ค่าสัมประสิทธิ์/พารามิเตอร์ ของ Repurchasing Intensity Curve เพื่อให้การ rebalance มีค่าที่ "ผ่อนคลาย" หรือ "แน่น" เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด

ด้วยวิธีการข้างต้น โมเดลจะสามารถประเมินได้ว่าจะเปิดใช้งานธุรกรรม rebalance หรือไม่ในทุกบล็อค (ทุก 3 วินาที) โดยการใช้พารามิเตอร์ เช่น ความน่าจะเป็น

ในช่วงต่อไป เราจะมาดูกันว่า โหมดการทำงานของการ rebalance มีแบบไหนบ้าง คุณสามารถตรวจสอบโหมดการทำงานของการ rebalance ณ ปัจจุบันได้ทางช่อง Telegram ที่นี่

โหมดการทำงาน 1: การทำงานแบบปกติ (Normal Operations)

  • ในโหมดทำงานแบบปกติ อัลกอลิทึมคาดว่าจะไม่มีแนวโน้มที่ราคาจะพุ่งไปด้านใดด้านหนึ่ง

  • สถานะนี้จะอนุญาติให้ราคาผันผวนได้ในช่วงหนึ่ง การ rebalance จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคาเลยช่วงราคาที่ตั้งค่าไว้

  • เพื่อทำให้ง่ายต่อความเข้าใจ คุณสามารถมองโหมดนี้ว่าใกล้เคียงกับระบบ rebalance แบบเก่าก็ได้

โหมดการทำงาน 2: การป้องกันความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด (Hedging Closely)

  • ในโหมดนี้ AVs จะทำการป้องกันความเสี่ยงทางราคาอย่างใกล้ชิด (เปิดการใช้งาน rebalance เมื่อราคามีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย)

  • โหมดนี้จะถูกเปิดใช้งานเมื่อมีแนวแนวโน้มว่าราคาจะไปด้านใดด้านหนึ่งแต่ไม่ทราบทิศทางของการเคลื่อนไหวนั้น นั่นหมายความว่าการ rebalance สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าราคาจะพุ่งไปด้านไหน

  • ด้วยโหมดการป้องกันความเสี่ยงอย่างใกล้ชิดนี้ ความเสี่ยงทางราคาของ vault นั้นจะเข้าใกล้ศูนย์และจะไม่มีอคติว่าการเคลื่อนไหวของราคาในในอนาคตจะเป็นอย่างไร

โหมดการทำงาน 3: การป้องกันความเสี่ยงในตลาดที่เป็นเทรน (Hedging Trend)

  • ในโหมดนี้ อัลกอริทึมจะเชื่อว่ามีความน่าจะเป็นสูงที่ราคาจะมีแนมโน้มไปด้านหนึ่ง

  • vault จะทำการป้องกันความเสี่ยงทางราคาอย่างใกล้ชิดคล้ายกับโหมด2 เพียงแต่การลดความเสี่ยงทางราคานี้จะทำในแบบที่คาดว่าการเคลื่อนไหวของราคาจะไปด้านหนึ่งเท่านั้น

  • การเคลื่อนของราคาในอีกด้านหนึ่งนั้นจะไม่ถูกป้องกันความเสี่ยง เพราะว่าโหมดนี้คาดว่าจะเกิดการย้อนกลับของราคา

โหมดการทำงาน 4: การปกป้อง (เหมือนกับ Alpaca Guard)

  • ในโหมดนี้เมื่อมีการเคลื่อนไหวทางราคาครั้งใหญ่เกิดขึ้น การย้อนกลับของราคาอาจเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับสัญญานของอัลกอริทึม และการ rebalance จะถูกหยุดชั่วคราว

  • ในอดีตโหมดนี้ถูกเปิดใช้งานแล้วหลายครั้ง รวมถึงครั้งที่ราคา BNB พุ่งขึ้นสูงถึง 400 แล้วลดกลับลงมาอย่างรวดเร็ว โดยสรุปแล้ว: อัลกอริทึมของเรานั้นมีความมั่นใจอย่างสูงว่าราคาจะย้อนกลับและจะหยุดการ rebalance ชั่วคราว ด้วยวิธีการนี้ผลลัพธ์ที่ได้คือ vault จะมีกำไรมากขึ้นหลังจากการย้อนกลับของราคา

  • ดังนั้นในโหมดทำงานปกติอาจจะมีกรณีที่ AVs ไม่มีการ rebalance เกิดขึ้น แต่จริงๆแล้วระบบหยุดธุรกรรมชั่วคราวตามที่ตั้งใจไว้

  • ด้วยเป้าหมายที่ลดความผันผวนให้ได้มากที่สุด ในอนาคตเราจะปรับพารามิเตอร์บางตัวเพื่อให้การ rebalance เกิดบ่อยขึ้น ดังนั้นคุณสามารถคาดหวังได้ว่าประสิทธิภาพของ vault ในอนาคตนั้นจะลื่นไหลมากขึ้นเมื่อเทียบกับเหตุการณ์หลังการล่มสลายของ FTX

พารามิเตอร์เพื่อความปลอดภัย

AVv3 ถูกออกแบบแบบแยกส่วนเพื่อให้ผู้จัดการมีอิสระในการดำเนินการ หน้าที่ของ smart contract คือการเป็นกล่องควบคุมเพื่อให้ง่ายในการดำเนินการกลยุทธ์ต่างๆและตรวจสอบการกระทำของผู้จัดการว่าการจัดการอยู่ภายใต้พารามิเตอร์เพื่อความปลอดภัยของเรา เราได้มีพารามิเตอร์ดังต่อไปนี้:

ความต้านทานต่อความเสี่ยงทางราคา:

  • คำอธิบาย: smart contract จะทำการตรวจสอบความเสี่ยงทางราคาของแต่ละ vault ก่อนและทันทีหลังจากการกระทำของผู้จัดการและจะไม่อนุญาติให้ธุรกรรมการ hedge ที่จะเพิ่มความเสี่ยงทางราคาให้ vault แย่ไปกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่น market-neutral vault ต้องการที่จะไม่มีความเสี่ยงทางราคาจาก BNB ถ้าความเสี่ยงทางราคานั้นอยู่ที่ long BNB เล็กน้อย ดังนั้นผู้จัดการจะไม่อนุญาติให้เกิดธุรกรรมการ hedge ที่จะเพิ่มความเสี่ยงทางราคาจาก BNB

  • มูลค่า: 0%

โน๊ต: การตรวจสอบนี้จะไม่ส่งผลต่อธุรกรรมการ "กู้เพิ่ม" ซึ่งผู้จัดการอาจทำเพื่อเพิ่ม leverage ของ vault

ความต้านทานจากผลกระทบจากการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์:

  • คำอธิบาย: เราจะตั้งค่าความต้านการจากผลกระทบแจกการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ (เช่น การ hedge ฯลฯ) ถ้าธุรกรรมการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์มีผลกระทบทางราคามากกว่ามูลค่าที่ตั้งไว้ ธุรกรรมนั้นจะถูกยกเลิก

  • มูลค่า: 1.0%

Leverage ที่มากที่สุด:

  • คำอธิบาย: เราคาดว่า leverage ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2-3x เราได้ตั้งค่า leverage ที่มากที่สุดสำหรับ vault ไว้ โดยที่ผู้จัดการจะไม่ได้รับอนุญาติให้ใช้ leverage ที่สูงกว่านี้เพื่อที่จะกู้สินทรัพย์เพิ่ม ถ้ากลยุทธ์มีมูลค่า leverage ที่มากที่สุดที่ตั้งไว้แล้วเราจะดำเนินการธุรกรรมการลด leverage โดยที่เราจะปิด 10% ของ positions และใช้ 10% ของมูลค่าสินทรัพย์นั้นในการจ่ายหนี้ โปรดทราบไว้ว่ามูลค่า 10% นั้นถูกเลือกเพื่อให้เป็นการ "ค่อยๆ" ปรับ vault แต่อาจเกิดขึ้นได้หลายๆครั้งถ้าตลาดยังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์ต่อไป

  • มูลค่า: 6x

ความต้านทานจากการเปลี่ยนแปลงเงินต้น:

  • คำอธิบาย: ความต้านทานจากการเปลี่ยนแปลงเงินต้นนั้นเป็นดั่งความปลอดภัยขั้นสุดท้ายที่จะตรวจสอบว่าธุรกรรมที่ผู้จัดการใช้งานนั้นจะปลอดภัย มันจะตรวจสอบ % ความเปลี่ยนแปลงของเงินต้นทั้งก่อนและทันทีหลังจากทำธุรกรรม ซึ่งธุรกรรมจะถูกยกเลิกถ้า % ความขาดทุนนั้นสูงกว่า

  • มูลค่า: 0.25%

ความเสี่ยงทางราคาที่มากที่สุด:

  • คำอธิบาย: พารามิเตอร์นี้มีไว้เพื่อสอดส่องและปรับความเสี่ยงทางราคาของแต่ละ vault เมื่อเทียบกับความเสี่ยงทางราคาที่ตั้งเป้าไว้ ยกตัวอย่างเช่นความเสี่ยงทางราคาเป้าหมายสำหรับ BNB Savings Vault คือ 1xLong BNB ความเสี่ยงทางราคาเป้าหมายสำหรับ BTCB Savings Vault คือ 1xLong BTCB และความเสี่ยงทางราคาเป้าหมายสำหรับ Market-Neutral Vault คือ 1xLong Stablecoin ดังนั้นในกรณีที่ 1xLong BNB vault มีความเสี่ยงทางราคาเลยไปที่ 4xLong BNB (+3x จากเป้าหมาย) หรือ (2x Short BNB) (-3x จากเป้าหมาย) พารามิเตอร์นี้จะมาป้องกันและลดความเสี่ยงทางราคาลง 10%

  • มูลค่า: + / - 3x

Last updated