AIP-30: ข้อเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ - Stablecoin
ภาพรวมผลิตภัณฑ์:
เราเสนอที่จะสร้าง decentralized stablecoin บน Stacks 3 โดยมีคุณสมบัติหลักคือใช้บิทคอยน์บน Stacks เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการผลิต stablecoin จุดเด่นสำคัญของ stablecoin ของเราได้แก่:
1.) ประสิทธิภาพการใช้เงินทุน
2.) ปราศจากดอกเบี้ย (ไม่มีดอกเบี้ยการกู้ยืม)
3.) กลไกการคงมูลค่าที่มั่นคง
เหตุผลในการเลือก Stablecoin
เราได้ประเมินโอกาสต่างๆ มากมาย พิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกดังนี้
โปรโตคอลเบส์เลเยอร์: หนึ่งในความท้าทายของ Alpaca Leveraged Yield Farming คือการที่ต้องสร้างบนโปรโตคอลอื่น เช่น DEX ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโปรโตคอลที่เราสร้างบนนั้น นอกจากนี้ การจะให้ LYF ทำงานได้ดี จำเป็นต้องมี DEX ขนาดใหญ่เพื่อรองรับ TVL เพิ่มเติมจาก LYF ซึ่ง stablecoin ในข้อเสนอไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโปรโตคอลอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ เนื่องจากเราน่าจะเป็นหนึ่งในโปรโตคอลกลุ่มแรก ที่เปิดตัวบน Stacks หลัง Nakamoto upgrade
สถานการณ์ตลาดปัจจุบัน: เป็นที่ชัดเจนว่าเราได้เข้าสู่ช่วงขาขึ้นแล้ว โดย BTC กลับไปสู่ระดับราคาสูงสุด และมีความต้องการ leverage long เพิ่มขึ้นสูงมาก ตามความเห็นของเราแล้ว การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
ประสบการณ์/ความเชี่ยวชาญของทีม: ทีมพัฒนาของเรามีประสบการณ์ในการสร้าง stablecoin (AUSD) มาก่อน เรามีความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงหลักของผลิตภัณฑ์ การพิจารณาข้อดีและข้อเสียที่เหมาะสมในการออกแบบ และรู้ถึงสาเหตุที่ AUSD ไม่ได้รับการตอบรับที่มากเพียงพอ แท้จริงแล้ว stablecoin เป็นรูปแบบหนึ่งของการ leverage ซึ่งเรามีความเชี่ยวชาญสูงมาก ทีมของเรามั่นใจว่าสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานของเราได้จากการเรียนรู้ AUSD และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ความเชื่อ/ความชอบของทีม: จากการพิจารณาผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ ทีมงานพบว่าผลิตภัณฑ์นี้มีโอกาสที่น่าสนใจที่สุด และเชื่อว่ามีโอกาสที่จะเติบโตได้สูงสุดเช่นกัน ทีมรู้สึกมีแรงบันดาลใจในการสร้างผลิตภัณฑ์และพร้อมจะผ่านแม้ช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ขนาดของโอกาส: ขนาดตลาดสำหรับ stablecoin แบบกระจายศูนย์มีขนาดใหญ่ ดังที่จะแสดงในการวิเคราะห์ในส่วนถัดไป แม้แค่ส่วนแบ่งตลาดเล็กน้อยก็สามารถสร้างรายได้ให้โปรโตคอลอย่างมหาศาล
เหตุผลในการเลือก Stacks
ตลาดใหม่: Stacks มีสถานะเป็นตลาดใหม่ ด้วยสภาพแวดล้อมของตลาดเกิดใหม่ ทำให้มีโอกาสสำหรับทีมที่มีความสามารถและน่าเชื่อถือในการเป็นผู้เริ่มต้นรายแรก
เข้าสู่ระบบนิเวศบิทคอยน์: เราเชื่อว่า Stacks มีศักยภาพที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างมหาศาลในระบบนิเวศของบิทคอยน์ เนื่องจากปัจจุบันมีบิทคอยน์เพียง ~1% ที่ถูกนำไปใช้ใน smart contract (เช่น wBTC มีน้อยกว่า 1% ของอุปทานหมุนเวียน) sBTC ที่ถูกพัฒนาโดย Stacks มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้และสร้างระบบเศรษฐกิจของบิทคอยน์ใหม่ด้วยการปรับปรุงหลายประการเมื่อเทียบกับวิธี bitcoin tokenization อื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน:
ไม่มีค่าธรรมเนียมการWrap/Peg
ไม่มีค่าธรรมเนียมการเก็บรักษา
มีบิทคอยน์ค้ำประกัน 100%
ไม่มีความเสี่ยงจาก Oracle หรือ L1 Chain
เรามีความเชื่อว่าคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ sBTC มีโอกาสสูงที่จะได้รับการยอมรับจากสมาชิกในชุมชนบิทคอยน์ โปรดสังเกตว่าการขาดการนำมาใช้ของบิทคอยน์โทเค็นไนซ์อื่นๆ เช่น wBTC ฯลฯ อาจเป็นเพราะว่ามันไม่ได้เพิ่มคุณค่าให้กับระบบนิเวศบิทคอยน์ แต่กลับเพิ่มมูลค่าให้กับเครือข่ายอื่น ๆ (เช่น Ethereum) ที่ bitcoin maxis นับว่าเป็นคู่แข่ง
อัปเกรดลำดับถัดไป: Stacks เป็น Bitcoin Layer2 ที่เปิดให้ใช้งาน decentralized application และ smart contract
Stacks เป็นบล็อกเชนที่เชื่อมโยงกับบิทคอยน์โดย consensus mechanism ที่ขยายไปยัง 2 chains เรียกว่า Proof of Transfer ซึ่งทำให้ Stacks สามารถใช้ประโยชน์จากความปลอดภัยของบิทคอยน์ และทำให้แอปพลิเคชันของ Stacks สามารถใช้คุณลักษณะของบิทคอยน์ได้
บิทคอยน์เป็น Base Layer ที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับ Stacks ซึ่งทุกธุรกรรมจะได้รับการยืนยันที่นี่ และ stacks เพิ่มแอปพลิเคชันและ smart contract ที่ซับซ้อน App ของ Stacks สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับบิทคอยน์ได้ ดังนั้นจึงสามารถใช้บิทคอยน์เป็นหน่วยเงินได้
ด้วยการอัพเดท Nakamoto ที่กำลังจะมาถึง (ประมาณเดือนเมษายนก่อน halving) ประสิทธิภาพเครือข่ายและการใช้งานของ Stacks จะดีขึ้นมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือเวลาในการสร้างบล็อกจะไม่ผูกติดกับเวลาบล็อกของบิทคอยน์อีกต่อไป (~ 10 นาที) แต่จะถูกกำหนดให้คงที่แทน (นับเป็นวินาที) เวลาบล็อกที่รวดเร็วนี้จะทำให้ประสบการณ์การใช้งานเทียบเท่ากับบล็อกเชนอื่นๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดตัว Nakamoto โปรดดูที่เอกสาร Stacks ที่นี่
ช่วงเวลาเปิดตัว: กรอบเวลาในการพัฒนาของเราตรงกับการเปิดตัว sBTC และ Nakamoto Release ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรา เป็นหนึ่งในโปรโตคอลแรกๆ ที่จะเปิดตัวบนนั้น ทำให้มีข้อได้เปรียบในการเป็นผู้เล่นรายแรก กลยุทธ์นี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับการเปิดตัวของ Alpaca ในปี 2021
รายละเอียดผลิตภัณฑ์
ผู้ใช้สามารถนำบิทคอยน์มาวางเป็นหลักประกันเพื่อกู้ยืม (เช่นสร้าง stablecoin) โดยปราศจากดอกเบี้ย stablecoin จะถูกค้ำโดยหลักประกันที่ผู้ใช้วางไว้, ส่วนรับประกันความมั่นคง และ collective borrowers เป็นกรณีสุดท้าย
การกู้ยืมโดยปราศจากดอกเบี้ย
เราจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการกู้ยืมครั้งเดียวจากผู้ใช้เมื่อกู้ยืม stablecoin การจ่ายค่าธรรมเนียมการกู้ยืมครั้งเดียวเป็นจุดเด่นที่สำคัญอย่างยิ่งในความคิดของเรา เนื่องจากผู้กู้ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุการกู้ยืม
เห็นได้ชัดว่าในช่วงตลาดขาขึ้นมีความต้องการเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก อาจมีช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นหรือคงระดับอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นระยะเวลาหนึ่ง
คงมูลค่า stablecoin ได้อย่างไร?
ปัญหาของ AUSD:
การที่ AUSD ไม่ได้รับการนำมาใช้มากนักเป็นเพราะความสามารถในการคงมูลค่าที่ 1 ดอลลาร์ แม้ระบบ AUSD จะปลอดภัย (กล่าวคือ มีหลักประกันเกินพออยู่ตลอดเวลา) แต่ก็ไม่สามารถรักษาการคงมูลค่าได้ เนื่องจากไม่มีระบบไถ่ถอนหลักประกันโดยตรง
แม้ว่าเราจะมี stable swap module แต่ก็ต้องสร้าง stablecoin treasury ขึ้นมาก่อน (ต้องมีการ mint AUSD ผ่าน stable swap module) จึงจะสามารถใช้สำหรับการไถ่ถอนได้ (AUSD → BUSD) ในสถานการณ์นี้ Arbitrager จึงไม่กล้าเข้ามาซื้อ AUSD เมื่อราคาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าต้องถือ AUSD ไว้นานแค่ไหนก่อนที่ราคาจะกลับมาที่ $1
วิธีแก้ปัญหานี้คือการอนุญาตให้มีการไถ่ถอน stablecoin เป็นสินทรัพย์ค้ำประกันโดยตรง วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการสร้าง Treasury เพื่อใช้สำหรับการไถ่ถอนโดยเฉพาะ ตัวอย่างหนึ่งคือ FEI ที่ระดมทุนจำนวนมหาศาลเพื่อให้สามารถไถ่ถอนจาก FEI ไปเป็นดอลลาร์สหรัฐได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การสร้าง Treasury ให้มีขนาดใหญ่พอไม่ใช่เรื่องง่าย และจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการระดมทุนพร้อมไปกับการขายโทเค็น
เราทำให้ stablecoin คงมูลค่าได้อย่างไร?
เรานำเสนอวิธีการไถ่ถอนหลักประกันโดยตรงโดยให้ทุกคนมีความสามารถในการปิดหนี้ ใครก็ตามที่ถือ stablecoin ( ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ mint stablecoin) จะสามารถไถ่ถอนมันในมูลค่าหลักประกัน 1 ดอลลาร์ รวมค่าธรรมเนียม นั่นหมายความว่า Arbitrager สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ตลอดเวลาที่ stablecoin price < $1 - fee ทำให้ stablecoin สามารถคงมูลค่าไว้ได้
การระบุว่าจะปิด position ใด (หรือปิดบางส่วน) เมื่อเกิดการไถ่ถอนจะดำเนินการโดย smart contract ซึ่งจะเรียงลำดับ position ทั้งหมดตามระดับความเสี่ยง (collateralized ratio) และปิด position ที่มีความเสี่ยงสูงสุดก่อน วิธีนี้ยังมีประโยชน์ในการลดระดับความเสี่ยงโดยรวมของโปรโตคอลด้วย
ในส่วนของเจ้าของ position หาก position ถูกปิด เขาจะเสียหลักประกันมูลค่าเท่ากับจำนวน stablecoin ที่ถูกไถ่ถอนจาก position ของเขา ในทางกลับกัน เขาจะไม่ต้องคืน stablecoin เจ้าของ postion สามารถลดความเสี่ยงได้โดยการชำระหนี้บางส่วนหรือเพิ่มหลักประกันเข้าไปใน position ของตน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกไถ่ถอนอีก
ในทางกลับกัน หากราคาของ stablecoin > $1 Arbitrager สามารถฝากหลักประกัน สร้าง stablecoin และขายในตลาดได้
Stability Pool ทำงานอย่างไร?
สินทรัพย์ใน Stability Pool จะถูกใช้ชำระหนี้สำหรับ liquidated position จากนั้น stablecoin ใน Stability Pool จะถูกใช้ปิด position (เช่น Burn) และหลักประกันของ position นั้นจะถูกโอนไปยัง Stability Pool สินทรัพย์หลักประกัน (เช่น BTC) ใน Stablility pool จะเพิ่มขึ้นและ stablecoin จะลดลง เมื่อมีการชำระบัญชีเกิดขึ้น
แทนที่จะต้องใช้ Liquidator ที่เชี่ยวชาญในอดีต กระบวนการนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าร่วมและใช้งานโปรโตคอล ในฐานะ Liquidator ผู้ฝากเงินใน Stability Pool จะได้รับค่าธรรมเนียมการ liquidate เป็นผลตอบแทน
การประมาณการณ์ผลตอบแทนของโอกาส
หนึ่งในคำถามสำคัญคือ "โอกาสนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหน?"
แม้ว่าจะมีปัจจัยหลายอย่าง เราสามารถประมาณขนาดของรางวัลได้โดยการวิเคราะห์จาก 3 วิธีต่อไปนี้:
1. Top-Down Estimation
มูลค่าตามราคาตลาดรวมของ BTC ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ ~$1,300Bn USD
สมมติว่า 1% ของจำนวน BTC ทั้งหมดจะถูกตราสารบน Stacks (เทียบเท่ากับ wBTC)
สมมติว่าหลักทรัพย์ 50% จะถูกนำไปใช้เป็นหลักประกันใน Lending Protocol (แทนการนำไปใช้เป็นสภาพคล่องใน DEX หรือการ staking ฯลฯ)
นี่แสดงให้เห็นว่าขนาดทั้งหมดสำหรับหลักประกันของ wBTC อยู่ในระดับประมาณ ~$6.5Bn USD การได้ส่วนแบ่งตลาดเพียง 2-3% ก็ทำให้โอกาสนี้น่าสนใจแล้ว เราเชื่อว่า TVL หลายร้อยล้านดอลลาร์เป็นเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้ในระยะกลางถึงระยะยาว
2. ข้อมูลเปรียบเทียบ
เราพิจารณาจาก protocol ที่ลักษณะใกล้เคียงกัน และประเมินว่ารายได้ทั้งปีอาจอยู่ในระดับหลายล้านดอลลาร์
รายละเอียดการวิเคราะห์: AUSDv2 Revenue Model - Google Sheets 1
ทรัพยากรและระยะเวลา:
เราประเมินว่าใช้เวลาพัฒนาประมาณ 3 เดือน และเราของบประมาณ $150k USD จากค่าธรรมเนียมในการแปลง BUSD (AIP-29) เราจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะเวลาและแผนการพัฒนาที่ชัดเจนขึ้น หากข้อเสนอนี้ได้รับการสนับสนุน
หากค่าใช้จ่ายจริงต่ำกว่างบประมาณที่ได้รับการจัดสรร งบประมาณส่วนที่เหลือจะถูกนำกลับไปใช้สำหรับโปรเจคอื่นๆ ตาม Governance process
เราอาจจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมสำหรับ incentives & marketing ในช่วงเปิดตัว ซึ่งมาจาก Warchest และแหล่งอื่นๆ
คำถามที่พบบ่อย:
Q: ความเสี่ยงหลักๆ คืออะไรบ้าง?
A: ความเสี่ยงหลักบางอย่างของผลิตภัณฑ์นี้ ได้แก่:
การนำไปใช้น้อย: เราพึ่งความสามารถของ Stacks ในการดึงดูด TVL เข้าสู่ chain อัตราการนำไปใช้ที่ต่ำหรือช้าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแพร่หลายของโปรโตคอลของเรา
ความล่าช้าของ Nakamoto Upgrade: ประสิทธิภาพการใช้งานของ Stacks ขึ้นอยู่กับ Nakamoto Upgrade เป็นอย่างมาก ปัญหาหรือความล่าช้าเกี่ยวกับการอัปเกรดครั้งสำคัญนี้จะหมายถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของเราล่าช้า
ความล่าช้าในการพัฒนา: ภาษาการเขียนโปรแกรมของ Stacks คือ Clarity ซึ่งเป็น framework ใหม่สำหรับทีมเราที่คุ้นเคยกับ Solidity/EVM แม้ว่าเราเชื่อมั่นในความสามารถของทีมผู้พัฒนาที่จะเรียนรู้ภาษาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงที่ระยะเวลาการพัฒนาจะนานกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แม้ว่านี่จะเป็นอุปสรรค แต่ก็สามารถถือเป็นข้อได้เปรียบได้เช่นกัน เนื่องจากโปรโตคอลอื่นที่ต้องการแข่งขันกับเราไม่สามารถนำโค้ดมาปรับใช้กับ Stacks ได้โดยตรง และต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพื่อพัฒนาเช่นกัน
ความปลอดภัยของ Smart Contract: มีโปรเจกต์จำนวนน้อยที่ใช้ Clarity ดังนั้นรูปแบบการโจมตีและการรักษาความปลอดภัยยังไม่แน่ชัด
Q: โมเดลนี้ได้รับการตรวจสอบแล้วหรือไม่? เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะสำเร็จ?
A: เราอ้างอิงการทำงานของโปรโตคอลบางส่วนจาก Liquity ซึ่งมี TVL มากกว่า $800 Mn และอยู่รอดผ่าน market cycle รอบล่าสุดมา
Q: ทำไมไม่ใช้ LYF บน Stacks?
A: LYF เป็น "second layer" protocol ต้องสร้างบนโปรโตคอลหลักที่มั่นคงเช่น spot DEX หรือ pool-based Perp DEX (ข้อมูลเพิ่มเติม Vaultka)
เราต้องสร้าง DEX ที่มีรายได้ที่เหมาะสม (15% - 20%+) และ TVL ($100Mn+) แบบที่เรามี Pancake Swap ให้บริการในส่วนนี้บน BSC
โดยสรุปคือ เราจะประเมินแนวทางนี้อีกครั้งในอนาคตเมื่อมีผู้ชนะใน DEX category
Q: จัดสรรรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างไร?
A: แม้ไม่ได้กำหนดตัวเลขโดยเฉพาะไว้ แต่เราคาดว่าจะทำรูปแบบเดียวกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Alpaca นั่นคือ จัดสรรรายได้ไปยัง ALPACA stakers, liquidity providers และ development funds.
Q: เราสามารถใช้ระบบ point system เป็นรางวัลได้หรือไม่? มีโปรโตคอลหลายตัวใช้วิธีนี้
A: การใช้ "point system" เพื่อดึงดูดผู้ใช้ น่าจะมีความเป็นได้ในกรณี Stacks จะทำการแจก airdrop ให้ผู้ใช้งานใน ecosystem ตัวอย่างเช่น Stacks จะแจก airdrop ให้กับ early users เราจะแจก points ให้แก่ผู้ใช้งานและให้สัญญาว่า airdrop ที่ทาง Stacks มอบให้ protocol (เช่นในกรณีที่ Alpaca ได้รับจาก PYTH) จะถูกนำไปแจกจ่ายตาม point ของแต่ละผู้ใช้งาน การออกแบบ point system เป็นคำถามที่อยู่ในขั้นตอนถัดไป ไอเดียอื่นๆ ที่เป็นไปได้คือเพิ่มอัตราส่วนการแบ่งรายได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งให้กับผู้ใช้กลุ่มแรก ยกตัวอย่างเช่น เราสัญญาว่าจะมีอัตราส่วนแบ่งรายได้มากขึ้นสำหรับผู้ถือ points ในช่วงเดือนแรกๆ จากนั้นอัตราส่วนแบ่งจะกลับมาเป็นปกติ เนื่องจากเรายังไม่ทราบรายได้แน่ชัดและขึ้นอยู่กับการเติบโตของโปรโตคอล สิ่งนี้สามารถสร้างพฤติกรรมตอบสนอง / positive flywheel
การโหวต:
AIP เป็นการโหวต ใช่ หรือ ไม่
"ใช่" จะอนุมัติข้อเสนอ และอนุญาติให้ทีมใช้เงินทุนเพื่อเริ่มต้นการพัฒนา
"ไม่" จะปฏิเสธข้อเสนอ และให้ทีมเสนอ proposal สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่
กรณีโหวตผ่าน
ทีมจะกำหนดแผนพัฒนาที่ละเอียดมากขึ้น
การอัพเดตความคืบหน้าจะถูกนำเสนอกับชุมชนเดือนละครั้ง (และถี่ขึ้นเมื่อใกล้เวลาการเปิดตัว)
ข้อสรุป:
ชุมชนโหวตอนุมัติไอเดียผลิตภัณฑ์ใหม่
อ้างอิง:
Last updated